GED อีก 1 ทางเลือกที่ดี
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ GED กันก่อนนะคะ ว่า GED คืออะไร สอบไปทำไม ใช้ทำอะไรได้บ้าง? GED หรือมีชื่อเต็มๆว่า General Educational Development ซึ่งเป็นระบบการศึกษารูปแบบหนึ่ง เปรียบเสมือนการสอบเทียบเท่าระดับวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.6)ในประเทศไทย ตามหลักสูตรการศึกษาของสหรัฐอเมริกา การสอบ GED เป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนม.ปลายหรือ high school สายสามัญ สามารถนำผลการเรียน GED Transcript ไปยื่นสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาภาคภาษาอังกฤษ (อินเตอร์) ทั้งในและต่างประเทศได้ อาทิเช่น มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU) และมหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC), หรือแม้กระทั่งมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ พูดง่ายๆก็คือ หากน้องๆเลือกสอบ GED และสามารถสอบผ่านได้ตามเกณฑ์ ก็เท่ากับน้องๆจบการศึกษาเทียบเท่ากับระดับม.6 ของไทยเลยนั่นเองค่ะ การสอบGED จึงเหมาะและได้รับความสนใจกันอย่างมาโดยเฉพาะในกลุ่มของนักเรียนหรือน้องๆที่กลับมาจาก Exchange Program หรือจบ High School จากต่างประเทศ การสอบ GED จะสามารถช่วยย่นระยะเวลาการศึกษาไปได้อย่างน้อย 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับความสามรถในการสอบให้ผ่านเกณฑ์ของน้องๆแต่ละคนค่ะ หากน้องๆสอบผ่านได้ไว ็มีโอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เร็วขึ้นค่ะ การสอบ GED มีการสอบด้วยกันทั้งหมด 4 วิชา คือคณิตศาสตร์ (Mathematical Reasoning), วิทยาศาสตร์ (Science), สังคม (Social Studies), และสุดท้ายคือ การอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ (Reasoning Through Language Art) โดยคะแนนเต็มของแต่ละวิชาคือ 200 คะแนน รวมทั้งหมด 800 คะแนน น้องๆจะต้องสอบให้ได้อย่างต่ำ 145 คะแนนต่อหนึ่งวิชาถึงจะผ่าน โดยจะมีคะแนนรวมของทั้ง 4 วิชารวมกันไม่น้อยกว่า 580 คะแนน หลังจากสอบผ่านทั้ง 4 วิชาแล้วนั้น น้องๆสามารถขอเอกสารใบคะแนนผลการศึกษา (transcript) เพื่อนำมายื่นสมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้เลยค่ะ การเลือกสอบ GED หรือการสอบเทียบวุฒิแบบนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี ทั้งสะดวก ประหยัดเวลาในการเรียนสายสามัญของน้องๆได้เป็นอย่างดีค่ะ ซึ่งการเตรียมตัวในการสอบ GED นั้น น้องๆสามารถเลือกช่องทางในการเรียนพิเศษ ติวเสริมหรือ การเลือกซื้อหนังสือมาฝึกทำข้อสอบได้เลยค่ะ “IGCSE IB A-Level คืออะไร ” ในยุคโลกาภิวัตน์การเลือกหลักสูตรการศึกษาสําหรับเด็กๆ การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม ล้วนเป็นสิ่งที่ ยากลําบากสําหรับผู้ปกครองในสมัยนี้ การเข้าใจระบบการศึกษาจึงเป็นส่วนสําคัญในการทําให้เราสามารถเลือก หลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของเราได้ โดยหลักสูตรที่พัฒนานั้นถูกแบ่งออกและเป็นที่นิยมด้วยกัน 4 ระบบ คือ IGCSE, GCSE, A-Level และ IB IGCSE (International GCSE) IGCSE เป็นการสอบ Cambridge International สําหรับนักเรียนที่อาศัยอยู่นอกสหราช อาณาจักร และไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก มีการเปิดสอนมากกว่า 70 วิชา วิชาหลักคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ นักเรียนต้องผ่านระหว่าง 5 และ 14 วิชา มีหลักสูตรพื้นฐานและขั้นสูงมากมาย IGCSE ใช้การประเมินผลแบบเกรดดิจิตอล ไม่ใช่การคัดเกรดแบบ A * G แต่จะถูกเปรียบเทียบ กับเกรดของสหรัฐอเมริกาและค่าเฉลี่ย 4.0 คะแนน A – Level มาจากสหราชอาณาจักรและได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ A-levels เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้เรียนในหลายวิชา ซึ่งเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ต้องลงทะเบียนมักจะมีอย่างน้อยสามระดับ ต้องเรียนอย่างน้อยสามวิชาจาก A-level แต่อาจเลือกหนึ่งในสี่โดยพิจารณาจากจุดแข็งด้านวิชาการและเป้าหมาย หลังเลิกเรียน การประเมิน A – Level ส่วนใหญ่ใช้โครงสร้างแบบเส้นตรงซึ่งหมายความว่าการสอบที่ผ่านการรับรอง จะถูกเขียนเมื่อสิ้นสุดการศึกษาสองปี มีระดับ A * E โดยมี A สูงสุด ซึ่งเป็นการไม่แบ่ง Higher level และ ทุกวิชาอยู่ในระดับเดียวกัน IB (International Baccalaureate) คือหลักสูตรประกาศนียบัตร ประกอบด้วยหกกลุ่มวิทยาศาสตร์หลักและ โปรแกรม DP ประกอบด้วย ทฤษฎีความรู้ เรียงความขั้นสูง ความคิดสร้างสรรค์ กิจกรรมบริการ (CAS) โดยเน้นการเรียนให้ลึก ให้ยาก เพื่อนําไปใช้ในอนาคต เปิดสอนหลักสูตรทั้งในระดับมาตรฐานและระดับสูงขึ้นไปและสูงกว่า Citation (2019). GEMA, IGCSE, A-LEVEL, IB: ความแตกต่างคืออะไร!?!. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก https://th.bccrwp.org/compare/gsce-igcse-a-levels-ib-what-s-the-difference-e33bf9/ ครูปอง. (2019). เลือกอะไรดี IB กับ A-Level. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก https://studyuk.in.th/2019/03/10/20190311-ib-a-level/